การสืบค้นจากเว็บopac

31/1/54

มารยาทของชาวญี่ปุ่น


มารยาทพื้นฐานของญี่ปุ่น



ความเป็นมาของมารยาทญี่ปุ่น 
หลักการมารยาทญี่ปุ่นสมัยนี้ก็มีส่วนที่ได้อิทธิผลมาจากหลายอย่าง เช่นศาสนาพุทธ(Bukkyou) โดยเฉพาะนิกายเซน(Zen shuu) ศาสนาชินโต(Shinto) ศิลปพิธีการชงชา (Sadou) และ ศิลปการต่อสู้ (Budou)ด้วย ซึ่งบางทีพ่อแม่คนญี่ปุ่นให้ลูกเรียนศิลปการต่อสู้เช่น Juudou Kendou (ศิลปการฟันดาบ) Kyuudou (ศิลปการยิงธนู) ฯลฯ เพื่อไม่ใช่ว่าให้ลูกแข็งแรงทางร่างกาย แต่เป็นการขัดเกลาจิตใจเพื่อให้ลูกมีระเบียบวินัยและรักษามารยาท  

  แต่ความจริงแล้วสิ่งที่หลักการมารยาทของญี่ปุ่นดั้งเดิมได้รับอิทธิผลมากที่สุดในสมัยโบราณ ก็คือคำสอนของศาสนาขงจื้อ("Jukyou" - Confucianism)ที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งคนญี่ปุ่นสมัยนั้นไม่ได้นับถือศาสนาขงจื้อเป็นศาสนา แต่นับถือเป็นวิชาหลักการมารยาท(Jugaku) สำหรับศาสนาขงจื้อนี้มีความสำคัญมากต่อความคิดทั่วไปของชาวเอเซียทางเหนือ รวมถึงญี่ปุ่น จีน และ เกาหลี (ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ยังรักษามารยาทตามศาสนาขงจื้ออย่างเข้มงวด) ซึ่งทำให้หลักการมารยาทของทั้งสามประเทศนั้นมีส่วนที่คล้ายกันหลายอย่าง เช่น การนับถืออาวุโสและบรรพบุรุษเป็นพิเศษ การให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตซึ่งต้องเป็นผู้สืบตระกูลและเจ้าของบ้าน (อันนี้ไม่ค่อยถือกันมากแล้วในประเทศญี่ปุ่นสมัยนี้) ฯลฯ

 ความเข้มงวดในการรักษามารยาทในประเทศญี่ปุ่น 
สำหรับความเข้มงวดในการรักษามารยาทสมัยนี้ก็คงไม่เข้มเท่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะมารยาททางสังคม(Koushuu doutoku)ในเมืองใหญ่ ๆ สมัยนี้ค่อนข้างเสื่อมลงไปแล้วอย่างน่าเป็นห่วงโดยได้อิทธิผลจากวัฒนธรรมอเมริกา อีกอย่างหนึ่งถ้าคุณไปอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นนักศึกษา ก็คงจะไม่ค่อยเห็นการรักษามารยาทแบบญี่ปุ่นกันมากเท่าไร เพราะว่าในประเทศญี่ปุ่น นักศึกษาเป็นฐานะที่มีอิสระมากที่สุดในชีวิต และมักจะไม่ยอมทำตามมารยาทกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างไรถ้าคุณมีโอกาสไปเยี่ยมบ้านอาจารย์ ผู้ใหญ่ หรือบ้านต่างจังหวัด คุณก็คงจะเห็นเขายังรักษามารยาทแบบญี่ปุ่นกันไม่น้อย 

นอกจากภายในบ้าน มีกรณีอีกอย่างหนึ่งที่คนญี่ปุ่นมักจะรักษามารยาทกันอย่างเข้มงวด คือในด้านธุรกิจ คุณอาจจะรู้สึกงงว่า ทำไมถึงในด้านธุรกิจที่ต้องทันสมัยของญี่ปุ่นยังรักษามารยาทแบบดั้งเดิมกันอยู่ใช่ไหมครับ สาเหตุหนึ่งก็คือเขาอยากให้พนักงานมีระเบียบในการทำงาน แต่สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ใหญ่กว่าก็คือ ในด้านธุระกิจของประเทศญี่ปุ่น ลูกค้าเป็นพระเจ้า ซึ่งนักธุรกิจหรือพนักงานฝ่ายขายที่มีหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าประจำ จะต้องระวังสุด ๆ ในการวางตัวการพูดของตัวเอง ในเวลาติดต่อกับลูกค้าเพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ของบริษัท ซึ่งทำให้มีการรักษามารยาทกันอย่างเข้มงวดที่สุด แต่รู้สึกว่าอันนี้มักจะมีมากเกินพอ อย่างกับว่าต่างคนต่างทำตัวเป็นคนเรียบร้อยสุด ๆ แบบไม่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นบางทีคุณก็คงจะเห็นสิ่งที่ตลกอย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่เคยรักษามารยาท ก็จะต้องตั้งใจฝึกซ้อมการปฎิบัติตามมารยาทด้านธุรกิจ ก่อนที่จะสมัครเข้าทำงานในบริษัท บางทีทางมหาวิทยาลัยก็จะจัดการอบรมฝึกซ้อมมารยาทให้นักศึกษาด้วย ที่สาขาญี่ปุ่นของบริษัทอเมริกา ตามปกติพนักงานจะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนตามอิสระในออฟฟิศ แต่เมื่อพบกับลูกค้าจะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อสูททุกครั้ง พูดถึงมารยาทด้านธุรกิจของญี่ปุ่นจะมีเยอะมาก และยุ่งยากพอสมควร แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่นด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม

 มารยาทในการรับประทานอาหาร 
สิ่งที่คุณคงจะเห็นบ่อยที่สุดเกี่ยวกับมารยาทญี่ปุ่นก็คือเรื่องอาหาร ตามปกติถ้าคุณไปทานข้าวที่ห้องอาหารในโรงเรียน หรือที่ร้านอาหารธรรมดาคุณก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องมารยาท และคุณอาจจะเห็นสิ่งที่แปลกมากกว่า อย่างเช่น เวลาทานบะหมี่หรืออาหารเป็นเส้นโดยเฉพาะ Soba (บะหมี่แบบญี่ปุ่นสีเทาหรือสีม่วงอ่อนที่ทำจากข้าวบัคฮวีทBuckwheat) คนญี่ปุ่นก็จะส่งเสียงดังมากในการดูดเส้น อันนี้ไม่เสียมารยาท การส่งเสียงดังเป็นการแสดงถึงความอร่อยของอาหารเส้น 
 เมื่อก่อนเพื่อนที่เป็นคนไทยบอกว่า เขาไปทาน Soba ที่ร้านแห่งหนึ่งบ่อยเพราะว่ารสชาติอร่อยดี จนสนิทกับเจ้าของร้าน แต่มีสิ่งที่เขาแปลกใจข้อหนึ่งคือ เจ้าของร้านดูท่าทางไม่พอใจเมื่อเขาทาน Soba อยู่ ในที่สุดวันหนึ่งเจ้าของร้านมาถามเขาว่า Soba ของเขาไม่อร่อยหรือเปล่า ซึ่งเจ้าของร้านเข้าใจผิดว่าเขาทานไม่อร่อยแน่ เพราะเพื่อนเขาพยายามทานอย่างเงียบแบบไม่ส่งเสียงเลย แปลกไหมครับ ถ้าคุณไปทาน Soba , Udon หรือ Ramen และเจอที่อร่อยแล้ว แนะนำว่าให้ส่งเสียงในขณะทานสักนิดก็จะดีกว่า เพราะถ้าไม่ส่งเสียงเลยคนญี่ปุ่นคงเห็นแปลกมาก หรือคงคิดว่าคุณทานไม่อร่อยแน่นอน 

ความจริงแล้วมารยาทการรับประทานอาหารของญี่ปุ่นก็มีเยอะเหมือนกับ Table manner ของทางยุโรป เมื่อคุณมีโอกาสทานอาหารญี่ปุ่นแบบทางการหน่อยหรือที่บ้านของผู้ใหญ่ คุณก็ศึกษามารยาทไว้ก่อนสักนิดคงจะดีกว่า

อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมก็จะเสริฟเป็นชุดสำหรับแต่ละคน ซึ่งไม่มีจานใหญ่สำหรับหลายคนอย่างอาหารจีน ในชุดอาหารจะมีถ้วยหรือจานเล็กที่ใส่อาหารแต่ละอย่าง เช่นของต้ม ของย่าง ผักดอง ฯลฯ นอกจากนี้ต้องมีถ้วยข้าว (Cha wan) และถ้วยซุป (Shiru wan) อยู่ตรงข้างหน้าคนทาน ถ้วยข้าวต้องอยู่ซ้ายมือและถ้วยซุปต้องอยู่ขวามือ ถ้าวางสลับกันก็จะถือไม่ค่อยดีเพราะเป็นตำแหน่งสำหรับคนที่เสียชีวิตแล้ว สำหรับถ้วยข้าวและถ้วยซุป สองถ้วยนี้ ต้องเอามือยกทาน โดยเฉพาะสำหรับถ้วยซุปจะไม่มีช้อนให้ ซึ่งคุณก็จะต้องทานอย่างติดปากเหมือนกับถ้วยน้ำชา

ถ้าเป็นงานเลี้ยงที่มีสุราหรือเครื่องดื่มให้ก่อน ตามปกติห้ามดื่มเลย ต้องรอจนกว่าจะมีการชนแก้ว(Kanpai) อันนี้ไม่เหมือนกับเมืองไทย สำหรับอาหารก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ก็ต้องรอให้ชนแก้วกันเสร็จก่อนจึงจะเริ่มทานได้
  

สิ่งที่คนต่างชาติมักจะทำอย่างถูกวิธีไม่ค่อยได้ก็คือ การใช้ตะเกียบ ตะเกียบเป็นเครื่องมือในการทานอาหารญี่ปุ่นที่สำคัญที่สุด สมัยก่อนคนญี่ปุ่นก็ไม่ได้ใช้ช้อนหรือส้อม ใช้แค่ตะเกียบอย่างเดียว ในมารยาทการรับประทานอาหารของญี่ปุ่นก็มีข้อห้ามสำหรับการใช้ตะเกียบหลายอย่าง และในหนังสือคู่มือมารยาทสำหรับชาวญี่ปุ่นทุกเล่มก็มีบทเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญและคนญี่ปุ่นเองบางคนก็มักจะทำผิดด้วย

มารยาทในการเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่น 
เมื่อคุณไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่ สิ่งที่ควรระวังก็คือเวลา คุณไม่ควรจะเยี่ยมบ้านตอนเวลาทานอาหาร นอกจากว่าเจ้าของบ้านชวนให้มาทานอาหารกันที่บ้าน คนญี่ปุ่นถือว่าการเยี่ยมบ้านคนอื่นตอนเวลาทานอาหารเป็นสิ่งที่เสียมารยาท ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเยี่ยมก็คือตอนสายๆหรือตอนบ่าย ไม่ควรเป็นตอนเย็นมากด้วย เพราะแม่บ้านเขาคงจะต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็น ถ้าโดยบังเอิญไปถึงบ้านเขาในขณะเขาทานอาหารอยู่พอดี เราก็ควรจะบอกว่า Oshokuji chuu ni ojamashite moushiwake arimasen (ขอโทษที่รบกวนเวลาทานอาหาร) และควรจะรอที่ห้องอื่น ตามปกติเจ้าของบ้านก็จะไม่ชวนกินข้าวด้วยกัน (อันนี้ไม่เหมือนกับเมืองไทย) เพราะว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เตรียมอาหารอย่างดีสำหรับแขก และตามปกติคนที่จะเยี่ยมก็ต้องทานข้าวให้เสร็จมาก่อนที่จะเยี่ยมเขาอยู่แล้ว 

อีกข้อหนึ่งก็คือของฝาก(Temiyage) ตอนไปเยี่ยมบ้านผู้ใหญ่ เราควรจะนำของฝากสักอย่างก็ถือว่าเป็นมารยาทดี ตามปกติแล้วของฝากในกรณีเยี่ยมบ้านคนอื่น ควรเป็นขนมแบบที่ใส่ในกล่องสวย(ไม่ใช่ที่ใส่ในถุงพลาสติกธรรมดา) หรือขนมแค้ก ที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีร้านขายขนมแบบสวยงามที่ใส่กล่องดีๆ (ที่มีราคาแพงหน่อย)เยอะ เพราะว่าในมารยาทญี่ปุ่นก็จะมีโอกาสใช้กันบ่อย ซึ่งขนมแบบนี้ไม่ใช่เป็นขนมสำหรับผู้ซื้อเพื่อกินเอง แต่สำหรับของฝากในการเยี่ยมคนอื่นมากกว่า  


ThaiJJob.com








 มารยาทในการเข้าออกงานและในที่ทำงาน

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า มารยาทในที่ทำงานของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันจะค่อนข้างหย่อนยานกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะองกรณ์ของญี่ปุ่นในประเทศไทย แต่ก็ใช่ว่าที่ญี่ปุ่นจะไม่หย่อนยานนะครับ มีเหมือนกัน ที่เห็นมากที่สุดก็คงจะเป็นการทักทาย [挨拶 (あいさつ)] นั่นเอง การทักทายที่ดีและแจ่มใสเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่ดีของทั้ง2ฝ่ายและทั้งองกรณ์เลยนะครับ เคยทราบกันไหมครับว่าคำว่า [挨拶] มีที่มาอย่างไร? [挨] อักษรตัวนี้มีความหมายว่า การเปิดใจ ส่วน [拶] นั้นมีความหมายถึงการเข้าใกล้หรือเข้าถึงอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเมื่อนำตัวอักษรทั้ง2 มารวมกันก็จะมีความหมายถึงการเปิดใจเพื่อให้เข้าถึงซึ่งกันและกันไงครับ
ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน โรงเรียนหรือแม้กระทั่งในครอบครัวเดียวกันเอง การทักทายกันดูเหมือนจะน้อยลงไปมาก อาจเป็นเพราะเหตุผลต่างๆนาๆแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสภาวะความเร่งรีบของสังคม การห่างหายไปของมารยาทการทักทายในบริษัทหรือกลุ่มคนนั้นๆ จนทำให้การทักทายกลายเป็นเรื่องแปลกและทำให้เขอะเขิน การที่กลัวว่าจะไม่ได้รับการทักตอบ และเหตุผลอื่นๆอีกมากที่อาจยกกันมากล่าวอ้างให้ตนเองในใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการทักทาย
แต่ไม่ว่าเหตุผลและข้ออ้างจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือ การทักทาย [挨拶] เป็นสิ่งดีและมีประโยชน์แน่นอน ลองซิครับสำหรับท่านที่ไม่ได้ทำอยู่ พรุ่งนี้ตื่นเช้าทักทายคนในครอบครัว ทักทายเพื่อนบ้าน และเมื่อถึงที่ทำงานทักทายเพื่อนร่วมงาน จะเป็นคำว่า “อรุณสวัสดิ์” กับคนไทย หรือ [おはようございます!] ให้กับชาวญี่ปุ่น สลัดความง่วงหงาวหาวนอน สบตากันด้วยใบหน้าที่แจ่มใสสดชื่นพร้อมเปร่งเสียงดังฟังชัด แล้วคุณจะได้รู้ว่ามีอะไรดีๆกลับเข้ามาในชีวิตของคุณ หลายคนที่อยากทำมานานอาจจะถึงกับยกภูเขาออกจากอกทั้งลูกได้เลยทีเดียว
นอกจากการทักทายกันในยามเช้าแล้ว ตอนขากลับหลังเลิกงาน ก็ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวคำล่ำลากันด้วยนะครับ ถ้าหากกลับก่อนคนอื่นก็กล่าวว่า [お先に失礼します(おさきにしつれいします)] หรือถ้ากล่าวกับคนที่อยู่ทำล่วงเวลาก็ [お疲れ様です (おつかれさまです)]
กฏ 4 ข้อของ あいさつ [挨拶] 1. あ : 明るく (あかるく) ทักทายด้วยท่าทางที่แจ่มใสและเปี่ยมด้วยพลัง
2. い: いつでも ทักทายได้ทุกที่ทุกเวลา
3. さ: 先に (さきに) เป็นผู้เริ่มก่อนไม่ต้องรีรอ
4. つ: 続ける (つづける) ทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เริ่มทักทายกันเสียแต่วันนี้ แล้วคุณจะเห็นสิ่งดีๆเพิ่มขึ้นในที่ทำงาน


“สังคมจะน่าอยู่และเป็นมิตร หากพวกเราเสพติดการทักทาย”
ถ้าจะพูดถึงการทักทายแล้ว มีสิ่งที่คู่กันอีกหนึ่งสิ่งในการทักทายของชาวญี่ปุ่นคือการโค้ง การโค้งที่ใช้ในการทักทายกันโดยทั่วไปก็จะโค้งประมาณ 15 องศาครับ ไหนๆก็พูดถึงการโค้งแล้ว ก็ว่ากันให้จบไปเลยดีกว่า ว่ามีกี่แบบใช้อย่างไรบ้าง
การโค้งของชาวญี่ปุ่น มี 3 แบบครับ
1. 会釈 (えしゃく) จะโค้งทำมุม 15องศา เป็นการโค้งแบบทักทายทั่วๆไป เช่นการทักทายกันในที่ทำงานตอนเช้าและตอนเลิกงาน การทักทายผู้บริหารหรือลูกค้าขณะที่เดินสวนทางกัน เป็นต้น
2. 中礼 (ちゅうれい) จะโค้งทำมุม 30องศา เป็นการโค้งแบบเป็นพิธีการกว่าแบบแรก ใช้เวลาต้อนรับและส่งลูกค้าหรือแขกที่มาเยือน รวมถึงการไปเยี่ยมเยียนลูกค้าด้วย
3. 敬礼 (けいれい) จะโค้งทำมุม 45องศา เป็นการโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ใช้เคารพเวลามีงานพิธีสำคัญๆต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานศพ ใช้ในการขอบคุณผู้มีอุปการะคุณ และการขอโทษ
แต่ก็แปลกนะครับ เดี๋ยวนี้เวลาผมไปติดต่อธุระที่ญี่ปุ่น เอเย่นหลายรายมาส่งที่หน้าลิฟท์เวลากลับ แล้วจะโค้งลงไปกว่า 90องศา หัวแทบแตะพื้นเลย แถมยังก้มแบบไม่ยอมเงยจนประตูลิฟท์ปิดไปเลยครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเรียกว่า 最敬礼 (さいけいれい) ดีหรือเปล่า เพราะคนญี่ปุ่นรุ่นๆ ผมเขาจะไม่โค้งกันแบบนี้นะครับ :)
มาถึงที่ทำงานและออกจากที่ทำงานตรงเวลาเป๊ะ ใช่มารยาทที่ดีในการทำงานใช่หรือไม่?                                                                                                                              ที่จริงแล้วเวลาเริ่มงาน คือเวลาที่เราพร้อมเริ่มลงมือทำงานได้ทันที ไม่ใช่เวลาที่เราเพิ่งมาถึงที่ทำงาน ควรมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวเตรียมพร้อมในการทำงานได้ทันทีเมื่อถึงเวลางาน
และเวลาเลิกงานก็คือเวลาที่หยุดการทำงานแล้วเราเริ่มเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน แต่มีหลายคนใช้เวลาพอสมควรก่อนถึงเวลาเลิกงานในการเตรียมตัวเก็บข้าวของหรือแม้กระทั่งคุณผู้หญิงที่มักแต่งหน้าทาปากเพื่อเตรียมกลับบ้านได้ทันทีเมื่อถึงเวลาเลิกงาน
เมื่อจำเป็นต้องมาสายคุณควรทำอย่างไร?                                                                                                                                                                   สิ่งที่มักได้รับคำบ่นจากผู้บริหารชาวญี่ปุ่นมากที่สุดอย่างหนึ่งของพนักงานชาวไทยเราก็คือ เรื่องการหยุดงานและการมาสายโดยไม่บอกกล่าว ในกรณีที่เกิดเหตุจำเป็นที่ทำให้มาทำงานได้ไม่ทันตามเวลาเริ่มงาน เมื่อแน่ใจว่าไม่ทันแน่นอนแล้ว ควรรีบโทรแจ้งเจ้านายต้นสังกัดเพื่อให้ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้มาสาย เช่น รถติดแบบไม่ปกติ น้ำท่วม เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ และที่สำคัญต้องบอกถึงสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร สถานการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นแบบไร รวมถึงเวลาที่คาดว่าจะใช้เดินทางอีกเท่าไหร่ แสดงความรับผิดชอบห่วงใยและถามงานที่ตนรับผิดชอบอยู่เพื่อหาทางแก้ไขหรือหาคนรับทำแทนไปก่อนหากจำเป็น การเงียบไปโดยไม่ติดต่อ นอกจะเป็นการแสดงถึงความไม่รับผิดชอบต่องานแล้ว ยังทำให้ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานเป็นห่วงได้อีกด้วย


 




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น