การสืบค้นจากเว็บopac

31/1/54

ภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวัน

วันนี้เรามีภาษาญี่ปุ่นในชีวิตประจำวันมาบอกเพื่อนๆกันนะคะ......ลองฝึกกันนะเผื่อได้ใช้สักวัน



คำที่ใช้ทักทายในชีวิตประจำวัน
1.おはよう ございます (ohayou gozaimasu)~โอะฮะโย โกะไซมัส=อรุณสวัสดิ์
2.こんにちは (konnichiwa)~คนนิจิวะ(อ่านว่าวะนะคับ ไม่ใช่ฮะ)=สวัสดีครับ/ค่ะ ใช้ตอนกลางวัน
3.こんばんは (konbanwa)~คมบังวะ(เหมือนข้างบน)=สวัสดีครับ/ค่ะ ใช้ตอนเย็น ค่ำ
4.おやすみなさい (oyasuminasai)~โอะยะสุมินะไซ=ราตรีสวัสดิ์
5.さようなら (sayounara)~ซะโยนะระ=ลาล่ะคับ/ค่ะ
6.ありがとう ございます (arigatou gozaimasu)~อะริงะโต้ โกะไซมัส=ขอบคุณมากครับ/ค่ะ
7.すみません (sumimasen)~ซุมิมะเซน=ขอโทษครับ/ค่ะ
8.どう いたしまして (dou itashimashite)~โด้ อิตะชิมะชิเตะ=ไม่เป็นไรครับ/ค่ะ
9.おねがいします (onegaishimasu)~โอะเนะไงชิมัส=ขอความกรุณาด้วยครับ/ค่ะ
10.いただきます (itadakimasu)~อิทะดะคิมัส=เป็นคำพูดก่อนที่จะทานข้าวของชาวญี่ปุ่น
11.おげんきですか (ogenkidesuka)~โอะเก็นกิเดสสุก๊ะ=สบายดีมั้ยครับ/ค่ะ

ตัวเลข0=れい(rei) ゼロ(zero)
1=いち(ichi)
2=に(ni)
3=さん(san)
4=よん(yon) し(shi)
5=ご(go)
6=ろく(roku)
7=なな(nana) しち(shichi)
8=はち(hachi)
9=きゅう(kyuu) く(ku)
10=じゅう(jyuu)

*จะเห็นว่าบางตัวนั้นมีการอ่าน2แบบขึ้นอยู่กับสถานะการคับ เช่น ถ้าเกี่ยวข้องกับเวลาจะใช้く เท่านั้น

คนญี่ปุ่นนั้นจะชอบความรวดเร็วและกระชับบางครั้งตัวเลขก็จะอ่านแบบรวบรัด เช่น ichi=อิจิ อ่านว่า อิจ roku=โระคุ อ่านว่า รค hachi=ฮะจิ อ่านว่า ฮัจ

สำหรับเลข 2หลักนั้นใช้หลักการเดียวกับเลขไทย เช่น

12=じゅうに(jyuuni)
45=よんじゅうご(yonjyuugo)
69=ろくじゅうきゅう(rokujyuukyuu)
88=はちじゅうはち(hachijyuuhachi)
97=きゅうじゅうなな(kyuujyuunana)

เลขหลัก100(ส่วนหลังจากนี้ค่อยจำทีหลังก็ได้คับจำ1-10ให้ได้ก่อน)

100=ひゃく(hyaku)
200=に-ひゃく(ni-hyaku)
*300=さん-びゃく(san-byaku)
400=よん-ひゃく(yon-hyaku)
500=ご-ひゃく(go-hyaku)
*600=ろっぴゃく(rop-pyaku)
700=なな-ひゃく(nana-hyaku)
*800=はっぴゃく(hap-pyaku)
900=きゅう-ひゃく(kyuu-hyaku)

เลขหลัก1000

1000=せん(sen)
2000=に-せん(ni-sen)
*3000=さん-ぜん(san-zen)
4000=よん-せん(yon-sen)
5000=ご-せん(go-sen)
6000=ろく-せん(roku-sen)
7000=なな-せん(nana-sen)
*8000=はっせん(has-sen)
9000=きゅう-せん(kyuu-sen)

หลัก10000ครับ(ตัวพิเศษมีแค่ตัวเดียวตัวอื่นอ่านตามปรกติเหมือนเลขหลัก100และ1000)

*10000=いち-まん(ichi-man)

ตัวเลขญี่ปุ่นนั้นมีแค่หลักหมื่น ถ้าตัวเลขมากกว่านั้นจะมีวิธีการอ่านที่ต่างจากเดิม

100,000=じゅう-まん(juu-man) สิบหมื่น
1,000,000=ひゃく-まん(hyaku-man) นี่ก็ร้อยหมื่น
10,000,000=せん-まん(sen-man) พันหมื่น
100,000,000=いち-おく(ichi-oku) ส่วนตัวนี้มันคงไม่เป็นหมื่นหมื่น จึงเป็นตัวนี้แทน - -''



การดื่มชาของชาวญี่ปุ่น






พิธีชงชาแบบญี่ปุ่น





จริงแล้วพิธีชงชาญี่ปุ่นเริ่มขึ้นในราว ค.ศ.1191 โดยพระชื่อ Eisai ขณะที่ท่านได้ไปศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนที่จีน ท่านสังเกตุเห็นว่าการดื่มชาเขียวเป็นวิธีที่ปฏิบัติระหว่าางการปฏิบัติธรรม และท่านก็เห็นถึงคุณประโยชน์ของชาเขียว จึงได้นำกลับมาจากจีน และเมื่อกลับสู่ญี่ปุ่น ก็ได้นำเมล็ดชากลับมาปลูกที่คิวชูในปี ค.ศ.1191 และแล้วพิธีดื่มชาก็ได้เกิดขึ้น

พิธีชงชาแบบญี่ปุ่นวิวัฒนาการมากว่าศตวรรษ โดยครูชาหลาย ๆ ท่าน ท่านเซน โนะ ริวคิว (1521-1591) เป็นครูชาที่มีอิทธิพลที่สุดโดยในศตวรรษที่ 15 และท่านได้กำหนดแบบแผนพิธ๊ชงชาแบบญี่ปุ่นขึ้น โดยเป็นพิธีการทียึดเอาอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซน และยังคงเสืบทอดกันมากว่าร้อยปี โดยการถ่ายทอดจากครูสู่ศิษย์


พิธีชงชาหรือ " ชาโนยุ " (茶の湯) ไม่ใช่เพียงการชงชาเพื่อดื่มเพื่อความเพลิดเพลิน แต่หมายถึงพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อการชำระจิตให้บริสุทธิ์โดยการผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติตามอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซน หัวใจแท้จริงของพิธีชงชาก็คือ "ความพอใจในความสันโดษอย่างเคร่งครัดและความสมถะ" ขณะที่ชงชาจะมีการเคลื่อนไหวที่เต็มไปด้วยสมาธิอ่อนช้อย ดังนั้นเพื่อความเป็นสุนทรีย์วิถีแห่งชา บรรยากาศในการชงชาจึงถูกจัดด้วยความงามของศิลปะแห่งธรรมชาติทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ในการชงชา เครื่องตกแต่งบริเวณพิธี เช่น ภาพแขวนหรือการจัดดอกไม้ สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น การจัดสวน เครื่องปั้นดินเผาเซรามิค

ซาโนยุจึงถือเป็นธรรมเนียมที่เคร่งครัด มีพิธีรีตอง ตั้งแต่ท่าทางการนั่ง การจับเครื่องมือ การตักน้ำ ไปจนถึงการดื่ม จึงมีสถาบันที่สอนพิธีชงชาโดยเฉพาะ บางแห่งเีรียนกันเป็นปี

ขั้นตอนคร่าว ๆ ในพิธีชงชานั้นจะเริ่มจากการเชิญแขกเข้าสู่ห้องชงชา ซึ่งจะจัดแบบเรียบง่าย ขนาดไม่ใหญ่มากนัก มีของตกแต่งอย่างแจกันดอกไม้แบบญี่ปุ่น หรือภาพห้อยประดับผนัง พื้นห้องจะปูด้วยเสื่อทาทามิ ซึ่งจะมีส่วนที่ทำเป็นช่องเล็กๆ สำหรับวางเตาและหม้อต้มน้ำร้อนสำหรับชงชา

จากนั้นผู้ดำเนินการชงชาที่แต่งชุดกิโมโนสวยงามจะนั่งอย่างสงบนิ่ง เริ่มเช็ดถ้วยชาอย่างช้า ๆ ใช้ช้อนตักผงชาเขียวใส่ถ้วย ตามด้วยการตักน้ำร้อนจากหม้อ ใช้ที่คนชาคนเบาๆ และตีแรงขึ้นจนคล้ายการตีไข่ให้ชาขึ้นฟอง เมื่อได้ที่ก็จะยกถ้วยชาขึ้นหมุนประมาณ 3 ครั้งแล้ววางไว้ด้านหน้าผู้ดื่ม ผู้ดื่มจะโค้งเล็กน้อย พร้อมยื่นมือขวาจับถ้วยชาขึ้นวางบนฝ่ามือซ้าย หมุนถ้วยชาตามเข็มนาฬิกา แล้วยกขึ้นดื่มภายใน 3 ครั้งจนหมด ว่ากันว่าครั้งสุดท้ายนั้นต้องดื่มให้มีเสียงดังๆ เป็นการแสดงถึงมารยาทและความชื่นชอบในรสชาติของชา ดื่มเสร็จหมุนถ้วยชากลับมาอีกครั้ง แล้ววางลง การหมุนถ้วยชากลับอีกครั้งแล้ววางลง เป็นการโชว์ศิลปะความงามของถ้วยชา โดยทางผู้ชงชาจะหมุนถ้วยนั้น และเมื่อผู้ดื่มจะยกชาขึ้นดื่มก็จะต้องหมุนถ้วยกลับให้ลวดลายออกด้านนอก พร้อม ๆ กับพิจารณาถึงความสวยงามของถ้วยชา เมื่อดื่มเสร็จก่อนจะวางลงก็จะหมุนให้ลวดลายกลับไปเช่นเดิม ซึ่งอาจมีการพูดคุยกันถึงความงามของถ้วยชา ไปจนถึงการจัดแต่งห้องและบรรยากาศต่าง ๆ ถือเป็นมารยาททที่ดีงามในการดื่มชา และหากเป็นพิธีตามแบบโบราณที่ค่อนข้างเคร่งครัดและเป็นทางการแล้ว ทุกท่วงท่าตั้งแต่เริ่มต้นจนจบจะต้องสง่างาม นิ่งสงบ เพราะถือเป็นพิธีการอันศักดิ์สิทธิ์ในลัทธิเซน



มีธรรมเนียมอีกอย่างก่อนดื่มชาเขียวคือ การทานขนมหวานตามฤดูกาล โดยเสิร์ฟมาในจานใบเล็กที่รองด้วยกระดาษ พร้อมไม้จิ้มขนมที่เหลาจากไม้อย่างสวยงาม ว่ากันว่าเมื่อทานขนมรสชาติหวานเข้าไป แล้วดื่มตามด้วยชาเขียวรสเข้มข้น จะทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมเข้ากันเป็นอย่างดี



ชาที่นิยมดื่มและใช้ในพิธีชงชานั้นคือชาเขียว การทำไร่ชาของชาวญี่ปุ่นจะนิยมทำกันตามเชิงเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และในแต่ละพื้นที่ก็จะให้รสชาติชาที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและคุณภาพของดิน ซึ่งส่วนที่นำมาทำชาคุณภาพดีนั้นจะเป็นส่วนของยอดอ่อนที่อยู่บนสุด และเครื่องมือการเก็บชาที่ดีที่สุดคือมือมนุษย์เรา หลังจากนั้นก็นำชามาแปรรูป ซึ่งจะมีหลายแบบ ทั้งการตากแห้ง การหมัก การอบด้วยไอน้ำเดืือด การนำมาคั่วไปจนถึงการนำมารีดใบให้แห้ง ทำให้ยุ่ย บิดงอ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมของชาออกมา


ชาเขียวที่ใช้ในพิธีการชงชานั้นจะต้องผ่านการบดให้เป็นผงละเอียดเรียกว่า " มัทฉะ " (抹茶) นอกจากวัตถุดิบสำคัญนี้แล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อย่าง ถ้วยชา ที่เกือบทุกบ้านจะเลือกใช้ถ้วยที่สวยงาม โชว์ศิลปะหรือความพิเศษเฉพาะตัว บางถ้วยมีคุณค่าเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูล นอกจากนั้นก็จะมีกระปุกสำหรับใส่ผงชาเขียว ช้อนตักชาที่เป็นช้อนไม้ใผ่ขนาดเล็กๆ ปลายงอเล็กน้อย ไม้ชงชาจะมีลักษณะคล้ายๆ ที่ตีไข่แต่ขนาดเล็กกว่า โดยส่วนที่ใช้คนจะนำไม้ใผ่ซี่บางๆ มาดัดให้โค้งงอ มีความละเอียด 2 แบบ คือ 80 ซี่และ 120 ซี่ และก็จะมีหม้อต้มน้ำร้อน กระบวยตักน้ำ ผ้าเช็ดอุปกรณ์เป็นหลัก ซึ่งยิ่งเป็นพิธีการชั้นสูงก็จะยิ่งมีอุปกรณ์ต่าง ๆ มากขึ้นไปอีก

พิธีชงชาญี่ปุ่นดูมีพิธีรีตอง ละเมียดละไม ลึกซึ้ง จขบ. คงเข้าไม่ถึงแน่ ๆ ค่ะ อ่านไว้เป็นความรู้เท่านั้นเองค่ะ




          พิธีชงชาญี่ปุ่นจะเรียกว่า ซะโด หรือ ชะโด หรือ ชาโนะยุ
การดื่มชาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน การดื่มชาไม่ได้เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นญี่ปุ่นรับเข้ามาจากจีน แล้วดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมของตน จนกลายเป็นซึ่งโดดเด่นเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก
พิธีการชงชานั้นจะต้องบดชาให้เป็นผงละเอียดเรียกว่า " มัทฉะ "
นอกจากวัตถุดิบสำคัญนี้แล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์อย่างอื่นอีก คือ ถ้วยชา ที่เกือบทุกบ้านจะเลือกใช้ถ้วยที่สวยงาม โชว์ศิลปะหรือความพิเศษเฉพาะตัว บางถ้วยมีคุณค่าเป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลกันเลยทีเดียว นอกจากนั้นก็จะมีกระปุกสำหรับใส่ผงชาเขียว ช้อนตักชาที่เป็นช้อนไม้ใผ่ขนาดเล็กๆ ปลายงอเล็กน้อย ไม้ชงชาจะมีลักษณะคล้ายๆ ที่ตีไข่แต่ขนาดเล็กกว่า โดยส่วนที่ใช้คนจะนำไม้ใผ่ซี่บางๆ มาดัดให้โค้งงอ ถ้ายิ่งเป็นพิธีการชั้นสูงก็จะยิ่งมีอุปกรณ์ต่างๆ เยอะขึ้นอีก
          รูปแบบการจัดพิธีชงชา มักจัดในห้องพิธีชาลำดับการชงชา คือ ผู้ชงจะใส่มัทฉะ (matcha : ชาสีเขียวป่น) ลงในถ้วยชาและตักน้ำร้อนหม้อต้มมาใส่ คนด้วยฉะเซน (chasen : ไม้คนชา) จนแตกฟอง  เมื่อได้ที่ก็จะยกถ้วยชาขึ้นหมุนประมาณ ครั้งแล้ววางไว้ด้านหน้าผู้ดื่ม
          วิธีดื่ม คือ ยกถ้วยชาขึ้นมา ด้วยมือขวาและวางลงบนฝ่ามือข้างซ้าย หมุนถ้วยชาเข้าหาตัวหลังจากดื่มเสร็จแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดขอบถ้วยชา และใช้ไคชิ (kaishi : กระดาษรองขนม) เช็ดนิ้ว แต่องค์ประกอบที่สำคัญของพิธีชงชาไม่ใช้แค่การชงและการดื่มชา สิ่งสำคัญอยู่ที่การชื่นชมคุณค่าและความงามของสิ่งต่างๆ เช่น ถ้วยชา เครื่องใช้ในพิธีชงชา ชื่นชมความงามของบรรยากาศรอบๆตัวและการสื่อ ประสานใจระหว่างเจ้าบ้านและแขกผู้มาเยือน




ที่มา : http://www.japan-green-tea.com
http://www.j-doramanga.com
เว็บมาสเตอร์ บ้านฮามาโมโต้.com

ขอบคุณภาพจากเวปด้วยค่ะ


วัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่น



วัฒนธรรมการกินแบบชาวญี่ปุ่น
ถ้าเอ่ยถึงชาวญี่ปุ่นแล้ว ใครๆก็ต้องยอมรับว่าชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่มีวัฒนธรรมโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์   นุ่มนวลละมุนละไมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมด้านการกิน
ชาวญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลเรื่องอาหารการกินจากชนชาติเพื่อนบ้าน ทั้งจากเกาหลีและจีนมาเป็นเวลานานนับพันปี ได้เรียนรู้วิธีปลูกข้าวจากเกาหลี และนำเข้าข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์จากจีน ชาวญี่ปุ่นรู้จักทำเส้นอูด้งเวอร์ชันแรกเริ่มและซีอิ๊วญี่ปุ่นที่เรียกว่าโชยุ ตั้งแต่ 300 ปีก่อนที่จะรับศาสนาพุทธเข้าประเทศเสียอีก
เมื่อมีการติดต่อกับชาวตะวันตก ชาวญี่ปุ่นก็ได้รับวัฒนธรรมเรื่องอาหารการกินอีกด้วย ตัวอย่างเช่นชาวโปรตุเกสนำวิธีการทอดด้วยน้ำมันเข้ามาตั้งแต่ในช่วงที่ญี่ปุ่นปิดประเทศเมื่อราว 400 ปีก่อน ทำให้พวกเราได้ลิ้มลองเทมปุระจนทุกวันนี้

แต่สิ่งสำคัญสุดก็คือการที่ชาวญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมการกินจากชาติอื่นเข้ามาแล้วนำมาหล่อหลอมประยุกต์ให้กลายเป็นวัฒนธรรมของตนเองอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งมีการพัฒนาตามแนวทางของตนเองจนมีความแตกต่างไม่เหมือนชาติไหนอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย นช่วงที่มีการปิดประเทศ ศิลปะการกินอาหารแบบไคเซกิ ที่มีการจัดแต่งหน้าตาอาหารที่ทยอยเสิร์ฟมาทีละจาน เรียกว่ากินอร่อยอย่างเดียวไม่พอต้องสวยด้วย ก็เริ่มพัฒนาในยุคนี้แหละ
ดังนั้นเป็นการดีที่พวกเราชาวไทยน่าที่จะเรียนรู้มารยาทและธรรมเนียมการกินอาหารญี่ปุ่นไว้บ้าง ซึ่งตามปกติในยามที่กินข้าวกับเพื่อนๆตามร้านญี่ปุ่นที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า ก็ไม่น่าห่วงอะไรหรอก จะกินอย่างไรก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าท่านใดมีธุรกิจที่จะต้องร่วมรับประทานอาหารกับชาวญี่ปุ่น หรือมีโอกาสไปเยือนแดนอาทิตย์อุทัย ที่กลายเป็นประเทศยอดฮิตโดนใจติดอันดับของนักท่องเที่ยวชาวไทยไปเสียแล้ว น่าที่จะศึกษามารยาทไว้บ้าง ตามคำพังเพยที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามนะจ๊ะ


เส้นโซบะ



อูด้ง
ราเมน



อาหารญี่ปุ่นที่คนไทยนิยมชมชอบเอามากๆก็คืออาหารจำพวกเส้น ไม่ว่าจะเป็น โซบะ อูด้ง ราเมง(ราเมน) โปรดจำให้ขึ้นใจเลยว่าเวลาไปชิมบะหมี่ญี่ปุ่นในร้านญี่ปุ่นแท้ๆ ท่ามกลางชาวญี่ปุ่น กรุณาส่งเสียงซู้ดซ้าดเวลาสูดเส้นเข้าปากด้วย ยิ่งดังยิ่งดี ตอนที่คุณชายถนัดศรีพาปิ่นโตเถาเล็กไปเที่ยวเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน จำได้ว่าเราเข้าไปกินร้านบะหมี่ที่คุณชายตั้งฉายาให้ว่า”เปิดตูดโภชนา” เพราะเป็นร้านประเภทแผงลอยข้างทาง เวลากินต้องก้มผ่านม่านผ้าเข้าไปนั่ง ส่วนด้านหลังโผล่ออกมานอกร้านแค่ช่วงบั้นท้าย ปิ่นโตเถาเล็กส่งเสียงดังมากเวลาดูดเส้นด้วยความเอร็ดอร่อย เจ้าของร้านถึงกับชะโงกหน้ามาดูใกล้ๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะนี่ถือเป็นการแสดงกิริยาว่าของเขาอร่อยเยี่ยมยอดเสียจริง
ในทางกลับกันเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนที่เมืองนอกของปิ่นโตเถาเล็ก มีเพื่อนสนิทเป็นชาวญี่ปุ่น มีโอกาสแวะไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของเพื่อนที่โตเกียว เพื่อนผมคนนี้เป็นคนเรียบร้อย เวลากินโซบะจะไม่ส่งเสียงดังเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเจ้าของร้านทนไม่ได้ต้องเดินเข้ามาถาม(ผ่านเพื่อนชาวญี่ปุ่น)ว่า วันนี้เขาทำโซบะได้ไม่อร่อยหรือเปล่า ถึงได้เงียบเสียงเชียว จนต้องอธิบายให้กระจ่างว่ามารยาทชาวไทยเวลากินอาหารต้องเงียบเสียงเข้าไว้ พี่แกจึงเข้าใจและยิ้มออกได้
นอกจากบะหมี่แล้ว เด็กรุ่นใหม่ยังชอบกินซูชิหรือข้าวปั้นหน้าต่างๆกันมาก นี่ถ้าเป็นสมัยตอนที่ปิ่นโตเถาเล็กยังเด็กๆแทบไม่มีใครชอบกินปลาดิบ(ซาชิมิ)หรือข้าวปั้นกันเลย การกินซูชิที่ถูกต้องไม่ยากเลย ถ้าใช้ตะเกียบไม่คล่องให้ใช้มือจับข้าวปั้นได้ และให้เอาด้านบนที่เป็นหน้าซูชิจิ้มกับน้ำจิ้มโชยุ(ซีอิ๊วญี่ปุ่น) ระวังไม่ให้ข้าวแตกออกมาเป็นเม็ดๆลงไปในโชยุ ของคู่กับข้าวปั้นและปลาดิบคือวาซาบิสีเขียวๆที่กินแล้วฉุนขึ้นจมูก จะบอกว่าคนญี่ปุ่นเวลาเขากินวาซาบิ จะไม่ละลายวาซาบิในโชยุหรอกนะจ๊ะ ถ้าอยากจิ้มเพิ่มให้ป้ายบนซูชิแทน นอกจากนี้บางร้านดีๆมีระดับในประเทศญี่ปุ่น เขาจะไม่ใช้วาซาบิที่บีบจากหลอด แต่จะนำวาซาบิสดๆมาทั้งต้นแล้วให้เราฝนกับที่ขูดที่ทำจากหนังปลาฉลามเอง ปิ่นโตเถาเล็กเคยลองชิมแล้ว วาซาบิสดๆจะมีกลิ่นหอมมากและไม่ฉุนขึ้นจมูกเท่าอย่างหลอด

ถึงตรงนี้นึกย้อนกลับไปถึงตอนเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งจะมีผ้าม่านปิดอยู่ด้านบนของประตูทางเข้าร้าน ถ้าร้านไหนผ้าม่านอยู่ต่ำกว่าระดับศีรษะของเรา สำหรับร้านที่มีผ้าม่าน 4 ชิ้น ตอนเดินเข้าให้ใช้หลังมือป้ายไปที่บริเวณเหนือมุมด้านซ้ายของผ้าม่านชิ้นที่ 3 นับจากทางซ้ายสุดแล้วผลักออกจากตัว ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไป ส่วนบางร้านจะมีผ้าม่านปิดอยู่แค่ 2 ชิ้น ก็ให้ผลักผ้าม่านด้านขวาเข้าไป นอกจากการกินแล้วยังมีธรรมเนียมการรินเครื่องดื่มให้กันด้วย กล่าวคือถ้าไม่มีคนเสิร์ฟรินให้ ก็ควรที่จะรินให้ผู้อื่นและผลัดกันรินให้กัน การรินให้ตัวเองถือว่าเป็นการไม่สุภาพ 
ในระหว่างที่กินอาหาร  ควรพูดว่าโออิชิ (Oishii) ซึ่งแปลว่าอร่อยอยู่บ่อยๆ  เพื่อชมคนทำอาหารและถือเป็นการขอบคุณด้วย  และตามมารยาทของคนญี่ปุ่นแล้ว  ควรจะกินข้าวให้หมดชาม ถ้าเป็นอาหารชุดก็ควรจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้าจนหมดสิ้น อาหารชุดจะต้องวางถ้วยข้าวไว้ด้านซ้ายมือ และถ้วยซุปไว้ทางขวามือ เพราะถ้าวางสลับเอาถ้วยซุปไว้ซ้าย ถ้วยข้าวไว้ทางขวา จะสำหรับผู้เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าถ้วยซุปไม่มีช้อนให้ ก็ต้องยกมือประคองถ้วยขึ้นมาแล้วกินน้ำซุปจากถ้วยเลย
มาว่ากันต่อเรื่องการใช้ตะเกียบ เพื่อนลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นเคยสอนไว้ว่าการวางตะเกียบนั้นต้องให้วางบนที่วางและให้ปลายตะเกียบหันไปทางซ้ายมือเสมอ ซึ่งปิ่นโตเถาเล็กเป็นคนถนัดซ้ายก็ยังต้องหันปลายตะเกียบไปทางซ้ายเลย ถึงจะไม่สะดวกก็ต้องยอม

การคีบอาหารส่งกันไปมาทางตะเกียบถือเป็นข้อห้าม คือคีบส่งให้แล้วเพื่อนคีบรับด้วยตะเกียบ ทั้งนี้ก็เพราะเป็นวิธีการที่ใช้กันในพิธีศพของญี่ปุ่น  ซึ่งมีการคีบกระดูกคนตายส่งและรับต่อๆกันด้วยตะเกียบ ส่วนจะคีบอาหารแล้ววางบนจานให้คนอื่น เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ต้องกลับเอาปลายตะเกียบด้านบนที่ไม่ได้ใส่เข้าปากมาคีบให้แทน รวมไปถึงเวลาคีบอาหารจากจานกลางให้ตนเองด้วย
การปักตะเกียบลงในชามข้าวถือเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างยิ่ง เพราะมีธรรมเนียมการปักตะเกียบลงในชามข้าวที่หัวนอนของคนตาย การใช้ตะเกียบดันหรือเลื่อนภาชนะ การใช้ตะเกียบจิ้มหรือเสียบอาหาร หรือส่ายตะเกียบไปมาโดยลังเลว่าจะคีบชิ้นไหนดี และการใช้ตะเกียบชี้คนหรือโบกไปมาเหนือจานอาหาร ถือเป็นมารยาทที่ใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น 
สิ่งเหล่านี้คือมารยาทเบื้องต้นในการรับอยู่ข้างหน้าแล้ว สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กไประทานอาหารญี่ปุ่น ฟังดูเป็นเรื่องยากที่จะจดจำทำตาม แต่รับรองว่าเมื่อถึงตอนกินข้าวที่มีอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆทีเดียว ก็โออิชิมากๆนี่น


เบนโตะน่ารัก...น่าร้าก











เบนโต (Bentō– มักจะถูกอ่านผิดเป็น เบนโตะ) หรือ อาหารปิ่นโตแบบญี่ปุ่น ที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า เบนโตะ หมายถึงอาหารที่จัดเตรียมใส่กล่องเพื่อสะดวกต่อการพกพาไปรับประทานนอกบ้าน หรือระหว่างการเดินทาง คล้ายกับ ลันช์บ็อกซ์ (lunch box) ของอเมริกาโดยส่วนมากกล่องที่ใส่จะมีลักษณะเป็นหลุมหลายหลุม เหมือนกับถาดหลุม เพื่อจะได้สามารถจัดอาหาร เช่น ข้าวสวย กับข้าว รวมถึงเครื่องเคียงอื่นๆ ใส่ลงในกล่องได้อย่างเป็นสัดส่วน
ปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่นมีเบนโตมากมายหลายชนิดให้เลือกรับประทาน ทั้งตามสถานีรถไฟ ภัตตาคาร ห้างสรรพสินค้า และร้านสะดวกซื้อทั่วไป ส่วนในประเทศไทยสามารถหารับประทานได้ตามภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นหลายๆ แห่ง
มีการสันนิษฐานว่าคำว่าปิ่นโตของไทย น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า เปี้ยนตัง ของจีน และเบนโตของญี่ปุ่นนี่เอง
          อาหารกล่องที่เรียกว่า "มะกุโนะอุชิ เบ็นโต" นั้น แปลตามตัวอักษรคืออาหารกลางวันระหว่างม่านครับ ประกอบด้วยอาหารที่ทำด้วยเครื่องปรุงหลากหลายและ ปรุงด้วยวิธีต่างๆ กัน เช่น มิโนะโมะ คือ ผักต้ม ยะกิโมะโนะ คือ ปลาย่าง ซุโนะโมะโนะ คือ อาหารประเภทปลา และผักที่แช่น้ำส้มมาแล้ว อะเงะโมะโนะคือ อาหารประเภททอด ซุเกะโมะโนะ คือ ผักดอง การเปิดกล่องมะกุโนะอุชิเบ็นโตจึงเป็นเรื่อง เพลิดเพลินมากสำหรับชาวญี่ปุ่น มะกุโนะอุชิ เบ็นโต มีต้นกำเนิดในสมัยเอโดะ
เมื่อประชาชนออกไปหาความสำราญจากการดูละครจะมีการจัดข้าวสวยและกับข้าวออกขายให้ผู้ชมรับประทานระหว่างที่ปิดผ้าม่านให้ละครหยุดพักครึ่งเวลา
ในขณะที่อาหารตะวันตกจะให้ความสำคัญกับอาหารจานหลักมากที่สุด แต่อาหารญี่ปุ่นจะจัดอาหารมากมายหลายชนิดที่เป็นอาหารที่ได้จากทะเลบ้าง อาหารที่ได้จากภูเขาบ้าง และอาหารที่ได้จากท้องถิ่นบ้าง สำหรับมะกุโนะอุชิเบ็นโตนั้นจะจัดเรียงอย่างสวยงามมีความกลมกลืนกันทั้งหมด แสดงให้เห็นสุนทรีย์ทางด้านความงามของคนญี่ปุ่น 
     
       นอกจากมะกุโนะอุชิเบ็นโตแล้ว ยังมีเบ็นโตแบบอื่นๆ อีกเช่น เบ็นโต แบบง่ายๆเรียกว่า โอะ-เบ็นโต คือ ข้าวปั้น และ ฮิโนะมะรุเบ็นโต
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับธงชาติญี่ปุ่น ฮิโนะมะรุ หมายถึง ธงชาติของญี่ปุ่นซึ่งมีพระอาทิตย์สีแดงอยู่บนพื้นสีขาว
ฮิโนะมะรุเบ็นโตจึงประกอบด้วยข้าวสวยสีขาวและอุเมะโบะฌิ คือลูกบ๊วยดองสีแดงอยู่ตรงกลาง นอกจากนั้นตามร้านขายเบ็นโต มุมขายเบ็นโตในซุปเปอร์มาร์เก็ต และคอนวีเนี่ยนซ์สโตร์ มักจะมีโอะ-เบ็นโต หลายชนิดเช่น ซุฌิเบ็นโต ทงกะท์ซุเบ็นโต สุกียากี้เบ็นโต เป็นต้น รวมทั้งบ็นโตร้อนๆ ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ก็มีขายด้วย 

       ส่วนเบ็นโตที่เป็นที่นิยมและ เป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นก็คือ เอะกิเบ็น ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า เบ็นโตตามสถานีรถไฟ โดยเบ็นโตแบบนี้จะวางขายตามสถานีรถไฟ เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ปลายสมัยเมจิและต้นสมัยทะอิโฌทั้งนี้แต่ละภูมิภาคจะมีเบ็นโตของตนเองที่สามารถอวดรสชาติท้องถิ่นของตนเองได้คล้ายๆ กับอาหารชื่อดังตามภาคต่างๆ หรือจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยนี่แหล่



ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นค่ะ


ขอบคุณสำหรับรูปภาพประกอบนะคะ

--ข้าวแกงกะหรี่จากร้าน "Green Home Bake'n Coffee--
-- เบนโตะน่ารักๆ 

トトロのアニメ



『となりのトトロ』




1988年4月 日本


宮崎駿監督






11歳のサツキと4歳のメイが引っ越してきた家は、お化け屋敷!?2人は森の大きな木に住むトトロに出会い、楽しい不思議な体験をする。


昭和30年代の古きよき日本の田舎を背景に、子どもにしか見えない不思議な世界を描いた作品。


・・・と、私がレビューするまでもないのですが、大学生の時に友達が面白いことを言っていたのを思い出したので、改めてこの映画を観てみました。


というのは、この映画の主人公は誰でしょう?というお話。さて、誰ですか?


この質問をされた時に、私は即座に「サツキでしょ?」と答えました。でもこれ人によって、主人公はサツキ派とメイ派に分かれると思うのです。


その友達の分析では、「兄弟の中で、自分が兄・姉の人はサツキに感情移入して観る。弟・妹の人はメイに感情移入して観る」んですって。


これをクラス中のみんなに聞いたら、ほぼ100%この分析は当たってました!!
私はずっとサツキが主人公だと思ってたけど、メイだと思ってる人もいるんだ~となんか感心。


自分の兄弟中でも私は一番上なので。しかも、年の離れた妹もいるから、サツキの気持ちがよくわかるのです。
雨のバス停でお父さんの帰りを待ってる時に、眠たくなったメイをサツキがおんぶしてあげるところなんて・・・。だからお婆ちゃんちで待ってなさいって言ったのに、みたいな。


でも、最近は、ちょっとお父さんの視点からも見られるようになってきました。大人になったってことかな?


え?主人公はトトロ?う~ん、そういう人はどう分析すればいいでしょう?




・・・このレビューを書こうと思って、ネットで他の人の感想を見ていると、「うちの2歳の子どももトトロにすごくはまって、何度も何度もビデオ(DVD)観てます!」とかいう人もけっこういるみたいですね。


でもね、もしトトロの世界が素敵だと思うなら、小さい子どもにたくさんビデオ見せるより、自然の中に連れて行ってたくさん遊ばせてあげたほうがいいんじゃないのかなあ。子どもはきっとトトロに出会えると思うのです。


ちなみに、『となりのトトロ』の中国語版は『龍猫』。ほ~、「龍+猫」なんだ・・・。
中国の人たちにもトトロの人気はとっても高かったです。さすがトトロ。嬉しいですね。


海外で日本のショッピングwww.tenso.com












เพลงการ์ตูนจากเรื่อง โตโตโร่เพื่อนรัก เวอร์ชั่น 2 - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่

มารยาทของชาวญี่ปุ่น


มารยาทพื้นฐานของญี่ปุ่น



ความเป็นมาของมารยาทญี่ปุ่น 
หลักการมารยาทญี่ปุ่นสมัยนี้ก็มีส่วนที่ได้อิทธิผลมาจากหลายอย่าง เช่นศาสนาพุทธ(Bukkyou) โดยเฉพาะนิกายเซน(Zen shuu) ศาสนาชินโต(Shinto) ศิลปพิธีการชงชา (Sadou) และ ศิลปการต่อสู้ (Budou)ด้วย ซึ่งบางทีพ่อแม่คนญี่ปุ่นให้ลูกเรียนศิลปการต่อสู้เช่น Juudou Kendou (ศิลปการฟันดาบ) Kyuudou (ศิลปการยิงธนู) ฯลฯ เพื่อไม่ใช่ว่าให้ลูกแข็งแรงทางร่างกาย แต่เป็นการขัดเกลาจิตใจเพื่อให้ลูกมีระเบียบวินัยและรักษามารยาท  

  แต่ความจริงแล้วสิ่งที่หลักการมารยาทของญี่ปุ่นดั้งเดิมได้รับอิทธิผลมากที่สุดในสมัยโบราณ ก็คือคำสอนของศาสนาขงจื้อ("Jukyou" - Confucianism)ที่มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งคนญี่ปุ่นสมัยนั้นไม่ได้นับถือศาสนาขงจื้อเป็นศาสนา แต่นับถือเป็นวิชาหลักการมารยาท(Jugaku) สำหรับศาสนาขงจื้อนี้มีความสำคัญมากต่อความคิดทั่วไปของชาวเอเซียทางเหนือ รวมถึงญี่ปุ่น จีน และ เกาหลี (ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ยังรักษามารยาทตามศาสนาขงจื้ออย่างเข้มงวด) ซึ่งทำให้หลักการมารยาทของทั้งสามประเทศนั้นมีส่วนที่คล้ายกันหลายอย่าง เช่น การนับถืออาวุโสและบรรพบุรุษเป็นพิเศษ การให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตซึ่งต้องเป็นผู้สืบตระกูลและเจ้าของบ้าน (อันนี้ไม่ค่อยถือกันมากแล้วในประเทศญี่ปุ่นสมัยนี้) ฯลฯ

 ความเข้มงวดในการรักษามารยาทในประเทศญี่ปุ่น 
สำหรับความเข้มงวดในการรักษามารยาทสมัยนี้ก็คงไม่เข้มเท่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะมารยาททางสังคม(Koushuu doutoku)ในเมืองใหญ่ ๆ สมัยนี้ค่อนข้างเสื่อมลงไปแล้วอย่างน่าเป็นห่วงโดยได้อิทธิผลจากวัฒนธรรมอเมริกา อีกอย่างหนึ่งถ้าคุณไปอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นนักศึกษา ก็คงจะไม่ค่อยเห็นการรักษามารยาทแบบญี่ปุ่นกันมากเท่าไร เพราะว่าในประเทศญี่ปุ่น นักศึกษาเป็นฐานะที่มีอิสระมากที่สุดในชีวิต และมักจะไม่ยอมทำตามมารยาทกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างไรถ้าคุณมีโอกาสไปเยี่ยมบ้านอาจารย์ ผู้ใหญ่ หรือบ้านต่างจังหวัด คุณก็คงจะเห็นเขายังรักษามารยาทแบบญี่ปุ่นกันไม่น้อย 

นอกจากภายในบ้าน มีกรณีอีกอย่างหนึ่งที่คนญี่ปุ่นมักจะรักษามารยาทกันอย่างเข้มงวด คือในด้านธุรกิจ คุณอาจจะรู้สึกงงว่า ทำไมถึงในด้านธุรกิจที่ต้องทันสมัยของญี่ปุ่นยังรักษามารยาทแบบดั้งเดิมกันอยู่ใช่ไหมครับ สาเหตุหนึ่งก็คือเขาอยากให้พนักงานมีระเบียบในการทำงาน แต่สาเหตุอีกอย่างหนึ่งที่ใหญ่กว่าก็คือ ในด้านธุระกิจของประเทศญี่ปุ่น ลูกค้าเป็นพระเจ้า ซึ่งนักธุรกิจหรือพนักงานฝ่ายขายที่มีหน้าที่ติดต่อกับลูกค้าประจำ จะต้องระวังสุด ๆ ในการวางตัวการพูดของตัวเอง ในเวลาติดต่อกับลูกค้าเพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ของบริษัท ซึ่งทำให้มีการรักษามารยาทกันอย่างเข้มงวดที่สุด แต่รู้สึกว่าอันนี้มักจะมีมากเกินพอ อย่างกับว่าต่างคนต่างทำตัวเป็นคนเรียบร้อยสุด ๆ แบบไม่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้นบางทีคุณก็คงจะเห็นสิ่งที่ตลกอย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยที่ไม่เคยรักษามารยาท ก็จะต้องตั้งใจฝึกซ้อมการปฎิบัติตามมารยาทด้านธุรกิจ ก่อนที่จะสมัครเข้าทำงานในบริษัท บางทีทางมหาวิทยาลัยก็จะจัดการอบรมฝึกซ้อมมารยาทให้นักศึกษาด้วย ที่สาขาญี่ปุ่นของบริษัทอเมริกา ตามปกติพนักงานจะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนตามอิสระในออฟฟิศ แต่เมื่อพบกับลูกค้าจะเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อสูททุกครั้ง พูดถึงมารยาทด้านธุรกิจของญี่ปุ่นจะมีเยอะมาก และยุ่งยากพอสมควร แต่ถ้าไม่ได้เป็นคนญี่ปุ่นด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม

 มารยาทในการรับประทานอาหาร 
สิ่งที่คุณคงจะเห็นบ่อยที่สุดเกี่ยวกับมารยาทญี่ปุ่นก็คือเรื่องอาหาร ตามปกติถ้าคุณไปทานข้าวที่ห้องอาหารในโรงเรียน หรือที่ร้านอาหารธรรมดาคุณก็ไม่ต้องสนใจอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องมารยาท และคุณอาจจะเห็นสิ่งที่แปลกมากกว่า อย่างเช่น เวลาทานบะหมี่หรืออาหารเป็นเส้นโดยเฉพาะ Soba (บะหมี่แบบญี่ปุ่นสีเทาหรือสีม่วงอ่อนที่ทำจากข้าวบัคฮวีทBuckwheat) คนญี่ปุ่นก็จะส่งเสียงดังมากในการดูดเส้น อันนี้ไม่เสียมารยาท การส่งเสียงดังเป็นการแสดงถึงความอร่อยของอาหารเส้น 
 เมื่อก่อนเพื่อนที่เป็นคนไทยบอกว่า เขาไปทาน Soba ที่ร้านแห่งหนึ่งบ่อยเพราะว่ารสชาติอร่อยดี จนสนิทกับเจ้าของร้าน แต่มีสิ่งที่เขาแปลกใจข้อหนึ่งคือ เจ้าของร้านดูท่าทางไม่พอใจเมื่อเขาทาน Soba อยู่ ในที่สุดวันหนึ่งเจ้าของร้านมาถามเขาว่า Soba ของเขาไม่อร่อยหรือเปล่า ซึ่งเจ้าของร้านเข้าใจผิดว่าเขาทานไม่อร่อยแน่ เพราะเพื่อนเขาพยายามทานอย่างเงียบแบบไม่ส่งเสียงเลย แปลกไหมครับ ถ้าคุณไปทาน Soba , Udon หรือ Ramen และเจอที่อร่อยแล้ว แนะนำว่าให้ส่งเสียงในขณะทานสักนิดก็จะดีกว่า เพราะถ้าไม่ส่งเสียงเลยคนญี่ปุ่นคงเห็นแปลกมาก หรือคงคิดว่าคุณทานไม่อร่อยแน่นอน 

ความจริงแล้วมารยาทการรับประทานอาหารของญี่ปุ่นก็มีเยอะเหมือนกับ Table manner ของทางยุโรป เมื่อคุณมีโอกาสทานอาหารญี่ปุ่นแบบทางการหน่อยหรือที่บ้านของผู้ใหญ่ คุณก็ศึกษามารยาทไว้ก่อนสักนิดคงจะดีกว่า

อาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมก็จะเสริฟเป็นชุดสำหรับแต่ละคน ซึ่งไม่มีจานใหญ่สำหรับหลายคนอย่างอาหารจีน ในชุดอาหารจะมีถ้วยหรือจานเล็กที่ใส่อาหารแต่ละอย่าง เช่นของต้ม ของย่าง ผักดอง ฯลฯ นอกจากนี้ต้องมีถ้วยข้าว (Cha wan) และถ้วยซุป (Shiru wan) อยู่ตรงข้างหน้าคนทาน ถ้วยข้าวต้องอยู่ซ้ายมือและถ้วยซุปต้องอยู่ขวามือ ถ้าวางสลับกันก็จะถือไม่ค่อยดีเพราะเป็นตำแหน่งสำหรับคนที่เสียชีวิตแล้ว สำหรับถ้วยข้าวและถ้วยซุป สองถ้วยนี้ ต้องเอามือยกทาน โดยเฉพาะสำหรับถ้วยซุปจะไม่มีช้อนให้ ซึ่งคุณก็จะต้องทานอย่างติดปากเหมือนกับถ้วยน้ำชา

ถ้าเป็นงานเลี้ยงที่มีสุราหรือเครื่องดื่มให้ก่อน ตามปกติห้ามดื่มเลย ต้องรอจนกว่าจะมีการชนแก้ว(Kanpai) อันนี้ไม่เหมือนกับเมืองไทย สำหรับอาหารก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเป็นบุฟเฟ่ต์ก็ต้องรอให้ชนแก้วกันเสร็จก่อนจึงจะเริ่มทานได้
  

สิ่งที่คนต่างชาติมักจะทำอย่างถูกวิธีไม่ค่อยได้ก็คือ การใช้ตะเกียบ ตะเกียบเป็นเครื่องมือในการทานอาหารญี่ปุ่นที่สำคัญที่สุด สมัยก่อนคนญี่ปุ่นก็ไม่ได้ใช้ช้อนหรือส้อม ใช้แค่ตะเกียบอย่างเดียว ในมารยาทการรับประทานอาหารของญี่ปุ่นก็มีข้อห้ามสำหรับการใช้ตะเกียบหลายอย่าง และในหนังสือคู่มือมารยาทสำหรับชาวญี่ปุ่นทุกเล่มก็มีบทเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญและคนญี่ปุ่นเองบางคนก็มักจะทำผิดด้วย

มารยาทในการเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่น 
เมื่อคุณไปเยี่ยมบ้านคนญี่ปุ่นโดยเฉพาะผู้ใหญ่ สิ่งที่ควรระวังก็คือเวลา คุณไม่ควรจะเยี่ยมบ้านตอนเวลาทานอาหาร นอกจากว่าเจ้าของบ้านชวนให้มาทานอาหารกันที่บ้าน คนญี่ปุ่นถือว่าการเยี่ยมบ้านคนอื่นตอนเวลาทานอาหารเป็นสิ่งที่เสียมารยาท ซึ่งเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเยี่ยมก็คือตอนสายๆหรือตอนบ่าย ไม่ควรเป็นตอนเย็นมากด้วย เพราะแม่บ้านเขาคงจะต้องเริ่มเตรียมอาหารเย็น ถ้าโดยบังเอิญไปถึงบ้านเขาในขณะเขาทานอาหารอยู่พอดี เราก็ควรจะบอกว่า Oshokuji chuu ni ojamashite moushiwake arimasen (ขอโทษที่รบกวนเวลาทานอาหาร) และควรจะรอที่ห้องอื่น ตามปกติเจ้าของบ้านก็จะไม่ชวนกินข้าวด้วยกัน (อันนี้ไม่เหมือนกับเมืองไทย) เพราะว่าเจ้าของบ้านไม่ได้เตรียมอาหารอย่างดีสำหรับแขก และตามปกติคนที่จะเยี่ยมก็ต้องทานข้าวให้เสร็จมาก่อนที่จะเยี่ยมเขาอยู่แล้ว 

อีกข้อหนึ่งก็คือของฝาก(Temiyage) ตอนไปเยี่ยมบ้านผู้ใหญ่ เราควรจะนำของฝากสักอย่างก็ถือว่าเป็นมารยาทดี ตามปกติแล้วของฝากในกรณีเยี่ยมบ้านคนอื่น ควรเป็นขนมแบบที่ใส่ในกล่องสวย(ไม่ใช่ที่ใส่ในถุงพลาสติกธรรมดา) หรือขนมแค้ก ที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีร้านขายขนมแบบสวยงามที่ใส่กล่องดีๆ (ที่มีราคาแพงหน่อย)เยอะ เพราะว่าในมารยาทญี่ปุ่นก็จะมีโอกาสใช้กันบ่อย ซึ่งขนมแบบนี้ไม่ใช่เป็นขนมสำหรับผู้ซื้อเพื่อกินเอง แต่สำหรับของฝากในการเยี่ยมคนอื่นมากกว่า  


ThaiJJob.com








 มารยาทในการเข้าออกงานและในที่ทำงาน

อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า มารยาทในที่ทำงานของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันจะค่อนข้างหย่อนยานกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะองกรณ์ของญี่ปุ่นในประเทศไทย แต่ก็ใช่ว่าที่ญี่ปุ่นจะไม่หย่อนยานนะครับ มีเหมือนกัน ที่เห็นมากที่สุดก็คงจะเป็นการทักทาย [挨拶 (あいさつ)] นั่นเอง การทักทายที่ดีและแจ่มใสเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่ดีของทั้ง2ฝ่ายและทั้งองกรณ์เลยนะครับ เคยทราบกันไหมครับว่าคำว่า [挨拶] มีที่มาอย่างไร? [挨] อักษรตัวนี้มีความหมายว่า การเปิดใจ ส่วน [拶] นั้นมีความหมายถึงการเข้าใกล้หรือเข้าถึงอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นเมื่อนำตัวอักษรทั้ง2 มารวมกันก็จะมีความหมายถึงการเปิดใจเพื่อให้เข้าถึงซึ่งกันและกันไงครับ
ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน โรงเรียนหรือแม้กระทั่งในครอบครัวเดียวกันเอง การทักทายกันดูเหมือนจะน้อยลงไปมาก อาจเป็นเพราะเหตุผลต่างๆนาๆแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสภาวะความเร่งรีบของสังคม การห่างหายไปของมารยาทการทักทายในบริษัทหรือกลุ่มคนนั้นๆ จนทำให้การทักทายกลายเป็นเรื่องแปลกและทำให้เขอะเขิน การที่กลัวว่าจะไม่ได้รับการทักตอบ และเหตุผลอื่นๆอีกมากที่อาจยกกันมากล่าวอ้างให้ตนเองในใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการทักทาย
แต่ไม่ว่าเหตุผลและข้ออ้างจะเป็นอย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือ การทักทาย [挨拶] เป็นสิ่งดีและมีประโยชน์แน่นอน ลองซิครับสำหรับท่านที่ไม่ได้ทำอยู่ พรุ่งนี้ตื่นเช้าทักทายคนในครอบครัว ทักทายเพื่อนบ้าน และเมื่อถึงที่ทำงานทักทายเพื่อนร่วมงาน จะเป็นคำว่า “อรุณสวัสดิ์” กับคนไทย หรือ [おはようございます!] ให้กับชาวญี่ปุ่น สลัดความง่วงหงาวหาวนอน สบตากันด้วยใบหน้าที่แจ่มใสสดชื่นพร้อมเปร่งเสียงดังฟังชัด แล้วคุณจะได้รู้ว่ามีอะไรดีๆกลับเข้ามาในชีวิตของคุณ หลายคนที่อยากทำมานานอาจจะถึงกับยกภูเขาออกจากอกทั้งลูกได้เลยทีเดียว
นอกจากการทักทายกันในยามเช้าแล้ว ตอนขากลับหลังเลิกงาน ก็ต้องไม่ลืมที่จะกล่าวคำล่ำลากันด้วยนะครับ ถ้าหากกลับก่อนคนอื่นก็กล่าวว่า [お先に失礼します(おさきにしつれいします)] หรือถ้ากล่าวกับคนที่อยู่ทำล่วงเวลาก็ [お疲れ様です (おつかれさまです)]
กฏ 4 ข้อของ あいさつ [挨拶] 1. あ : 明るく (あかるく) ทักทายด้วยท่าทางที่แจ่มใสและเปี่ยมด้วยพลัง
2. い: いつでも ทักทายได้ทุกที่ทุกเวลา
3. さ: 先に (さきに) เป็นผู้เริ่มก่อนไม่ต้องรีรอ
4. つ: 続ける (つづける) ทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เริ่มทักทายกันเสียแต่วันนี้ แล้วคุณจะเห็นสิ่งดีๆเพิ่มขึ้นในที่ทำงาน


“สังคมจะน่าอยู่และเป็นมิตร หากพวกเราเสพติดการทักทาย”
ถ้าจะพูดถึงการทักทายแล้ว มีสิ่งที่คู่กันอีกหนึ่งสิ่งในการทักทายของชาวญี่ปุ่นคือการโค้ง การโค้งที่ใช้ในการทักทายกันโดยทั่วไปก็จะโค้งประมาณ 15 องศาครับ ไหนๆก็พูดถึงการโค้งแล้ว ก็ว่ากันให้จบไปเลยดีกว่า ว่ามีกี่แบบใช้อย่างไรบ้าง
การโค้งของชาวญี่ปุ่น มี 3 แบบครับ
1. 会釈 (えしゃく) จะโค้งทำมุม 15องศา เป็นการโค้งแบบทักทายทั่วๆไป เช่นการทักทายกันในที่ทำงานตอนเช้าและตอนเลิกงาน การทักทายผู้บริหารหรือลูกค้าขณะที่เดินสวนทางกัน เป็นต้น
2. 中礼 (ちゅうれい) จะโค้งทำมุม 30องศา เป็นการโค้งแบบเป็นพิธีการกว่าแบบแรก ใช้เวลาต้อนรับและส่งลูกค้าหรือแขกที่มาเยือน รวมถึงการไปเยี่ยมเยียนลูกค้าด้วย
3. 敬礼 (けいれい) จะโค้งทำมุม 45องศา เป็นการโค้งทำความเคารพอย่างนอบน้อม ใช้เคารพเวลามีงานพิธีสำคัญๆต่างๆ เช่นงานแต่งงาน งานศพ ใช้ในการขอบคุณผู้มีอุปการะคุณ และการขอโทษ
แต่ก็แปลกนะครับ เดี๋ยวนี้เวลาผมไปติดต่อธุระที่ญี่ปุ่น เอเย่นหลายรายมาส่งที่หน้าลิฟท์เวลากลับ แล้วจะโค้งลงไปกว่า 90องศา หัวแทบแตะพื้นเลย แถมยังก้มแบบไม่ยอมเงยจนประตูลิฟท์ปิดไปเลยครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเรียกว่า 最敬礼 (さいけいれい) ดีหรือเปล่า เพราะคนญี่ปุ่นรุ่นๆ ผมเขาจะไม่โค้งกันแบบนี้นะครับ :)
มาถึงที่ทำงานและออกจากที่ทำงานตรงเวลาเป๊ะ ใช่มารยาทที่ดีในการทำงานใช่หรือไม่?                                                                                                                              ที่จริงแล้วเวลาเริ่มงาน คือเวลาที่เราพร้อมเริ่มลงมือทำงานได้ทันที ไม่ใช่เวลาที่เราเพิ่งมาถึงที่ทำงาน ควรมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อเตรียมตัวเตรียมพร้อมในการทำงานได้ทันทีเมื่อถึงเวลางาน
และเวลาเลิกงานก็คือเวลาที่หยุดการทำงานแล้วเราเริ่มเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน แต่มีหลายคนใช้เวลาพอสมควรก่อนถึงเวลาเลิกงานในการเตรียมตัวเก็บข้าวของหรือแม้กระทั่งคุณผู้หญิงที่มักแต่งหน้าทาปากเพื่อเตรียมกลับบ้านได้ทันทีเมื่อถึงเวลาเลิกงาน
เมื่อจำเป็นต้องมาสายคุณควรทำอย่างไร?                                                                                                                                                                   สิ่งที่มักได้รับคำบ่นจากผู้บริหารชาวญี่ปุ่นมากที่สุดอย่างหนึ่งของพนักงานชาวไทยเราก็คือ เรื่องการหยุดงานและการมาสายโดยไม่บอกกล่าว ในกรณีที่เกิดเหตุจำเป็นที่ทำให้มาทำงานได้ไม่ทันตามเวลาเริ่มงาน เมื่อแน่ใจว่าไม่ทันแน่นอนแล้ว ควรรีบโทรแจ้งเจ้านายต้นสังกัดเพื่อให้ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้มาสาย เช่น รถติดแบบไม่ปกติ น้ำท่วม เกิดอุบัติเหตุ ฯลฯ และที่สำคัญต้องบอกถึงสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร สถานการณ์ข้างหน้าน่าจะเป็นแบบไร รวมถึงเวลาที่คาดว่าจะใช้เดินทางอีกเท่าไหร่ แสดงความรับผิดชอบห่วงใยและถามงานที่ตนรับผิดชอบอยู่เพื่อหาทางแก้ไขหรือหาคนรับทำแทนไปก่อนหากจำเป็น การเงียบไปโดยไม่ติดต่อ นอกจะเป็นการแสดงถึงความไม่รับผิดชอบต่องานแล้ว ยังทำให้ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานเป็นห่วงได้อีกด้วย


 




กำลังใจ

ไม่มีคำว่าแพ้หากว่าเราได้เริ่ม

ไม่มีคำว่าอยู่ที่เดิมหากเราได้ค้นหา
ไม่มีคำว่าเป็นที่หนึ่งหากยังต้องพึ่งพา
ไม่มีคำว่าดีกว่าหากว่าเราไม่ตั้งใจ



In L@V3